“โควิด-19 ไม่สนใจว่าคุณจะรวย จะดัง จะตลก จะฉลาด
จะอยู่ที่ไหน จะอายุเท่าไร จะมีเรื่องราวน่าทึ่งแค่ไหน โควิด-19
เป็นตัวสร้างความเสมอภาคที่ยิ่งใหญ่ (The great equalizer)”
มาดอนน่า
ปลายเดือนธันวาคมปีก่อนเป็นครั้งแรกที่เราพบกับกลุ่มผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนก่อนเชื้อดังกล่าวจะแพร่กระจายไปทั่วโลกจากเอเชียสู่ทั่วทุกทวีปในโลก
จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในหมู่คนทั่วไป เมื่อเชื้อแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก เหล่าคนดัง บุคคลสำคัญต่างก็ติดเชื้อเช่นเดียวกัน อย่างกรณีของนักแสดงฮอลลีวูดรุ่นคลาสสิคที่เป็นที่รู้จักกันดี อย่าง ทอม แฮงคส์ และ ภรรยา พวกเขาตรวจพบเชื้อโควิด-19 โดยทั้งคู่เล่าว่าขณะที่กำลังถ่ายหนังเรื่องใหม่ ประเทศออสเตรเลีย “เรารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย มีอาการปวดเนื้อตัว เหมือนจะเป็นหวัด ริต้า มีอาการหนาวสั่น และไข้ต่ำ” ทั้งคู่จึงตัดสินใจไปทำการตรวจหาเชื้อและเปิดเผยว่าติดเชื้อไวรัส พร้อมกับแจ้งว่าจะรักษา กักตัว และปฏิบัติกระทั่ง 30 มีนาคม 2563 แฮงคส์ และ ภรรยา มีอาการดีขึ้นและได้เดินทางกลับ ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา
ข่าวของแฮงคส์ครั้งนี้ ได้ยกระดับความตื่นตัวถึงความน่ากลัวของไวรัสมากขึ้นว่าแม้แต่คนดังระดับโลก ก็เป็นมนุษย์ที่เปราะบางต่อโรคภัยไข้เจ็บไม่ต่างกัน หลังจากนั้น ดารา และคนดัง ก็ทยอยมีข่าวว่าตรวจพบไวรัสกันมากขึ้น
นักแสดงชาวอเมริกัน-เกาหลี ที่โด่งดังจากซีรีส์เรื่อง Lost และ Hawaii Five-0 วันที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมาแดเนียลบอกว่า ตัวเองมีอาการหลังจากเดินทางกลับกองถ่ายที่เมือง นิวยอร์ก ซิตี้ จึงได้รับการตรวจไวรัสในรูปแบบไดรฟ์ ทรู ที่โฮโนลูลู ฮาวาย และพบว่าติดเชื้อ โควิด-19 จึงได้ทำการกักตัวจากครอบครัวและพักรักษาตัวที่บ้านมาเป็นเวลาหนึ่งแล้ว
“ใช่ ผมเป็นคนเอเชีย และ ใช่ ผมติดโคโรน่าไวรัส แต่ผมไม่ได้ติดมาจากจีน ผมติดจากอเมริกา” เนื้อหาในวิดีโอมีการพูดถึงประเด็นการเหยียดเชื้อชาติที่เกิดจากการระบาดด้วย “ได้โปรด หยุด อคติ และความรุนแรงที่ไม่มีเหตุผลต่อคนเอเชีย การสุ่มทำร้ายผู้สูงอายุเอเชีย บางทีเป็นคนไร้บ้านเสียด้วยซ้ำ มันขี้ขลาด น่าใจสลาย และไร้ข้อแก้ตัวแค่ไหนกัน”
ระบบบริการสุขภาพของสหรัฐฯ มีทางเลือกระหว่างระบบประกันสุขภาพเอกชน (Private health Insurance) และ ระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล (Government funded health insurance) โดยในปัจจุบัน บางรัฐยกเลิกการบังคับจ่ายภาษีประกันสุขภาพ ดังนั้นจึงมีประชาชนบางส่วนเลือกที่จะไม่ซื้อประกัน แต่หากเจ็บป่วยก็ต้องจ่ายค่ารักษาเองทั้งหมด ซึ่งมีราคาแพงมาก ส่วนใครที่เลือกใช้ประกันจะมีทางเลือกคือ ในส่วนของเอกชนนั้น ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่คือบุคคลทั่วไปและมนุษย์เงินเดือน โดยต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนมาเป็นเบี้ยประกันกับบริษัทประกันที่บริษัทที่ตนทำงานอยู่จัดหามา
ในส่วนของรัฐบาลมีประกันสุขภาพให้สองรูปแบบคือ แบบที่ครอบคลุมกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และ กลุ่มคนรายได้น้อย(มาก) ถ้าไม่น้อยจริงก็จะไม่ได้ถูกครอบคลุม ทำให้มีประชากรถึง 45 ล้านคนซึ่งรายได้น้อยแต่ไม่น้อยถึงเกณฑ์ไม่มีประกันสุขภาพและไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลขั้นต้นได้ ซึ่งไม่ว่าเป็นแบบใด หากไปพบแพทย์แต่ยังใช้งบไม่ถึงค่าลดหย่อน ก็ต้องจ่ายค่ารักษาเองอยู่ดี ดังนั้น ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยหนัก ชาวอเมริกันจึงหลีกเลี่ยงการไปพบแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายเหล่านี้ จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่จำนวนผู้ป่วยโควิด 19 ในสหรัฐไต่ขึ้นอันดับ 1 ของโลก นอกจากนี้ยังปัญหาในส่วนอื่นๆ อีก ได้แก่
โรงพยาบาลในสหรัฐเอง มีเตียงไม่พอขนาดที่ว่าต้องไล่นักศึกษาออกจากหอพักมหาวิทยาลัยเพื่อนำหอพักมาทำเป็นที่พักผู้ป่วยเคสไม่ฉุกเฉิน หรือมีการนำเรือแพทย์ทหารจำนวน 1000 เตียงของกองทัพเรือมาจอดที่ pier 90 ในนิวยอร์ก เพื่อเสริมความขาดแคลนเตียงของโรงพยาบาล
ท่านนายกทรัมป์นอกจากจะประกาศผิดๆ ว่าโควิดเป็นแค่ไข้หวัดแล้ว ยังมีความห่วงเศรษฐกิจของชาติมากกว่าประชาชนโดยอ้างว่าหากไม่เปิดประเทศก่อนวันอีสเตอร์ (12 เมษายน) ประชาชนไม่ตายเพราะโควิดก็คงฆ่าตัวตายเพราะตกงาน ดังนั้นจึงควรเร่งการกลับไปใช้ชีวิตปกติให้เร็วที่สุด
ศูนย์ภัยพิบัติแห่งชาติ (Federal Management of Emergency) ยังล้มเหลวในการประมูลสั่งซื้อเครื่องช่วยหายใจจากทางจีน โดยให้แต่ละรัฐแข่งขันประมูลราคากันเองกับจีน ไม่ได้รวบรวมจำนวนความต้องการเครื่องช่วยหายใจที่แท้จริงเพื่อไปต่อรองราคาจากจีน ทำให้นอกจากจะล่าช้าในการสั่งเครื่องแล้ว ยังทำให้ราคาแพงขึ้นอีกด้วย
ชาวนิวยอร์กก็ยังทำตัวสมเป็น city that never sleeps โดยช่วงกลางเดือนมีนาคมที่เพิ่งเริ่มมีการระบาด ก็ยังต่อคิวเข้าบาร์ในคืนวันเสาร์อย่างหนาแน่น ชาวฟลอริดา beach bodies ก็ยังคงจัดปาร์ตี้ริมหาดฉลองการปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ พึ่งไม่นานมานี้ ที่ชาวอเมริกันกลับตัวกลับใจทำตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรค (Center of Disease Control) ที่ให้อยู่บ้านถ้าป่วยไม่หนัก ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีประกันนั้นก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าให้อยู่บ้านรักษาตัวหรืออยู่บ้านนอนรอความตายกันแน่
ต่างกับระบบสุขภาพในสหราชอาณาจักรที่ถึงแม้เวลาที่ใช้ในการรอก่อนจะได้รับการรักษาจะนานกว่า แต่ก็เน้นเรื่องความเท่าเทียมในการรักษา โดยมีงบสนับสนุนจากกองทุนกลาง
คัลลัม ฮัดสัน โอดอย นักเตะสัญชาติอังกฤษของสโมสรฟุตบอลเชลซี เป็นนักกีฬาอีกหนึ่งคนตรวจพบเชื้อโควิด-19 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563 เช่นกัน และมีการประกาศว่า ศูนย์ฝึกซ้อมกีฬาคอบแฮมจะทำการปิดบางส่วน และ เพื่อนรวมทีม โค้ช รวมถึงเจ้าหน้าที่ในศูนย์ที่มีประวัติสัมผัสกับคัลลัม จะต้องถูกกักตัวและปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด
ในขณะเดียวกัน เจ้าชายชาร์ลส์แห่งราชวงศ์อังกฤษซึ่งมีพระชนมพรรษา 71 พรรษา ได้ถูกตรวจว่าติดเชื้อไวรัสในวันที่ 25 มีนาคม 2563 โดยที่พระชายาไม่ได้ติดเชื้อและไม่สามารถสืบทราบได้ว่าติดเชื้อมาจากใคร อย่างไรก็ตาม อาการของพระองค์ก็จัดได้ว่ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นักแสดงตลกชาวญี่ปุ่นรุ่นใหญ่ที่คนไทยมักรู้จักจากรายการ คู่หูคู่ฮา เป็นคนดังชาวญี่ปุ่นคนแรกที่ประกาศติดเชื้อไวรัสในวันที่ 23 มีนาคม 2563 หลังจากที่เข้ารักษาที่โรงพยาบาลก่อนหน้านั้นด้วยอาการปอดติดเชื้อขั้นรุนแรง เจ็ดวันต่อมา เคน ได้จบชีวิตลงด้วยอายุ 70 ปี สร้างความสะเทือนใจ ให้กับผู้คน
แม้ระบบบริการสุขภาพของประเทศญี่ปุ่นจะได้รับการยกย่องเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ความตระหนักในเรื่องการควบคุมการติดเชื้อของประชาชนทั่วไปหรือแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ยังจัดว่าอยู่ในระดับที่ควรปรับปรุง ทำให้กลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงต่อไวรัส (ผู้สูงอายุ หรือ ผู้มีโรคประจำตัว) ตกอยู่ในความเสี่ยงกว่าปกติ
เป็นที่ฮือฮาของสังคมไทย ในวันที่ 13 มีนาคม 2563 เมื่อดารานักแสดงชื่อดัง แมทธิว ดีน ได้ออกมาประกาศผ่านอินสตาแกรมว่าตนติดเชื้อโควิด-19 พร้อมกับให้ข้อมูล กิจกรรมและสถานที่ เพื่อให้กลุ่มเสี่ยงได้ทราบว่าตนเป็นผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (PUI) ซึ่งการออกมาประกาศนั้นก็ได้สร้างการถกเถียงขึ้นในโซเชียลมีเดีย ถึงความเหมาะสมและการตั้งคำถามกับความล่าช้าของทางการกระทรวงสาธารณสุขไทย อีกสามวันต่อมา แฟนสาวนักร้องชื่อดังของ แมทธิว ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน ก็ได้เปิดเผยว่าตนเองก็ติดเชื้อไวรัสเช่นเดียวกัน รวมถึงได้โพสต์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเช่นกัน
นักแสดงและเจ้าของเพลง รักติดไซเรน ได้โพสต์ผลการตรวจเลือด ในวันที่ 20 มีนาคม 2563 ว่าติดเชื้อโควิด-19 พร้อมกับแจ้งไทม์ไลน์ สถานที่อย่างละเอียดให้ทุกคนได้เฝ้าระวัง โดยอาการของแพรวาเอง ที่จริงแล้วไม่ได้เข้าข่าย PUI แต่ตัดสินไปตรวจด้วยตนเองที่โรงพยาบาลเอกชน
เมื่อหันกลับมาที่ระบบบริการสุขภาพของบ้านเราเองนั้น พบว่าส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนบริการสุขภาพถ้วนหน้า (30 บาทรักษาทุกโรค) เป็นหลัก ซึ่งแม้ในทางทฤษฎีจะครอบคลุมทั่วถึง แต่ในทางปฏิบัติกลับมีข้อจำกัดของการบริการและการรักษา ทำให้การรักษาบางอย่างถูกจำกัดอยู่แค่เพียงในกลุ่มคนที่มีกำลังจ่าย หรือ มีสถานะพิเศษทางอาชีพหรือตำแหน่ง
สิ่งที่ตามมากับการเป็นคนดังคือสถานะชการณ์เป็น ’คนของประชาชน’ คนเหล่านี้จึงมีพันธะหรือความจำเป็นที่จะต้องออกมา ‘เป็นตัวอย่าง’ ของสังคม ซึ่งความเข้มข้นย่อมต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม เช่น ไทยเองที่ดาราคนดังต้องแสดงถึงความโปร่งใสขั้นสุด ออกมาแจ้งผลการตรวจ ไทม์ไลน์ชีวิตระยะเวลาช่วงนั้น ข้อความยืนยันความบริสุทธิ์ใจในการกักตัว 14 วัน ฯลฯ ต่างจากฝั่งตะวันตก ที่คนดังบางคน เช่น Drake, Chris Jenner หรือ Heidi Klum ที่มีข่าวว่าได้ไปทำการตรวจ แต่เจ้าตัวไม่ได้ออกมาบอกผลแต่อย่างใด ทำให้เห็นถึงพันธะความรับผิดชอบต่อสังคมที่บ้านเราคาดหวังต่อดาราเหล่านี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งนั้นคาบเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและสิทธิการเปิดเผยข้อมูลเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยตำแหน่งและสถานะที่ผู้คนเหล่านี้ยืนอยู่ (ดูมีชื่อเสียงเงินทอง มีอภิสิทธิ์) มักที่จะถูกตีความเป็นความไม่เข้าใจบริบทของสังคมได้ไม่ยาก อย่างโพสต์รณรงค์ให้อยู่บ้านของ มาร์กี้ ราศรี บาเล็นซิเอก้า จิราธิวัฒน์ และ วิดีโอร้องเพลงให้กำลังใจของ Gal Gadot ต่อให้ทำออกมาด้วยความหวังดี แต่สื่อเหล่านี้ถูกถ่ายในบ้านพักสุดหรู ที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความตระหนักของสถานการณ์ยากลำบากที่คนส่วนใหญ่กำลังพบเจอ จึงก่อให้เกิดความขับข้องใจและโดนวิจารณ์ได้ในทางลบ
บางคนอาจจะมีคำถามขึ้นในใจ ว่าหากใครสักคน ที่เป็นคนสามัญ ธรรมดาเกิดติดเชื้อไวรัสขึ้นมาแล้วนั้น จะได้รับความสนใจที่แปลกไปถึงการได้รับการตรวจและรักษาที่เท่าเทียมกับคนเหล่านี้หรือไม่ และความไม่มั่นใจเหล่านี้นั้น สะท้อนถึงประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขและความเหลื่อมล้ำในสังคมแต่ละประเทศอย่างไร
เรื่อง : ศิลป์ ชินศิรประภา และเรียบเรียงโดย Creative Talk
ภาพ : สุธาทิพย์ อุปสุข
อ้างอิง :